วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประสบการณ์ปีนภูเขาไฟฟูจิ (2017)

ขอแชร์ประสบการณ์ปีนภูเขาไฟฟูจิครั้งแรกคะ 
เดือนสิงหาคม 2017 ค่า


ปีนขึ้น 1 วัน นอน 1 คืนและปีนลงค่ะ  : )

การปีนขึ้นเขาฟูจินั้นมีทางเลือก 4 ทางคือ Yoshida, Subashiri, Gotemba, และ Fujinomiya
 ทั้ง 4 ทางมีจุดเริ่มต้นคนละที่ จะไปบรรจบกันที่บนยอดรอบปากปล่องภูเขาไฟ

ครั้งนี้เราเลือกปีนเส้นทาง Yoshida ซึ่งเป็นทางที่ง่ายสุดและคนนิยมปีนมากที่สุด ความยาวประมาณ 6 กม. ซึ่งจุดเริ่มต้นคือสถานีฟูจิชั้น 5 (Fuji 5th Station) นั่นเอง จุดเริ่มต้นอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,305 เมตรเข้าไปแล้ว ทุ่นแรงที่จะปีนถึงยอดที่ 3,776 เมตรไปได้เยอะ

 เนื่องจากเราอยู่สูงจากพื้นปกติมาก ทำให้เราควรปรับตัวอยู่ที่นี่ซัก 1 ชม. ก่อนเริ่มปีนเขา ไม่งั้นอาจจะแพ้ความสูงได้ (Altitude Sickness)
ที่นี่มีรถบัส รถทัวร์มาลงเยอะ มีทั้งเด็กประถม คนแก่ คนวัยทำงานมารวมกันเพื่อปีนฟูจิเต็มไปหมด มีร้านขายของที่ระลึกและอุปกรณ์ปีนเขาที่จำเป็นต่างๆ ด้วย เช่นไม้เท้า กระป๋องอ๊อกซิเจน ใครขาดอะไรก็ยังพอหาที่ชั้นนี้ได้นะ

เราเดินทางโดยรถบัสรอบเช้าสุด 6.45 am จาก Shinjuku มาถึง Fuji 5th Station ราวๆ 9.20 am ตั๋วรถบัสเปิดให้จองในเนตล่วงหน้า 1 เดือนก่อนวันเดินทาง แนะนำให้จองตั้งแต่วันแรกที่เปิดเลย เพราะไม่งั้นเวลาดีๆจะเต็มก่อน สามารถจองได้ที่นี่
https://www.highwaybus.com/gp/inbound/index


สำหรับกระเป๋าใบใหญ่ เราฝากไว้ที่โรงแรมในโตเกียว แบกเป้ใบเล็กมา และสัมภาระที่ไม่จำเป็นก็สามารถฝากไว้ที่ล็อคเกอร์ที่ชั้น 5 นี้ได้เพื่อกลับมาเอาตอนลงมาจากเขาแล้ว มาถึงชั้นนี้แนะนำให้ถ่ายรูปก่อนปีนอย่างเต็มที่เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนมีพลังและหน้าดีสุดแล้ว 5555 🗻






富士山五合目 | Fuji 5th Station
เขาหัวโล้นนี้ก็คือภูเขาไฟฟูจินี่เองงง
เห็นแบบนี้เหมือนจะใกล้ แต่เดินจริงๆนี่ไกลมากนะ
การปีนเขาฟูจิหลักๆมีอยู่สองรูปแบบคือ

1. ปีนเช้าๆสายๆ ถึงที่พักเย็นๆ ค้างคืนบนเขา แล้วตื่นมาเพื่อปีนไปดูพระอาทิตย์บนยอดเขา (แบบนี้อาจจะต้องทนร้อนกับแดดเที่ยงตอนปีนขึ้น)

2. ปีนเย็นๆ รวดเดียวไปให้ถึงยอดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ดูพระอาทิตย์แล้วปีนลงเลย (แบบนี้ก็อากาศจะเย็นกว่า คนน้อยกว่า แต่พอมืดแล้วจะปีนลำบาก ต้องใช้ไฟติดหัว ไม่ได้เห็นวิวระหว่างทางด้วย)


เราเลือกอย่างแรกกันคือไปนอนค้างโรงเตี๊ยมบนเขา 1 คืน (อย่าเรียกว่าโรงแรมเลย) ซึ่งที่พักส่วนใหญ่อยู่แถวๆชั้น 7-8 ติดๆ กัน พวกเราเลือกที่พักที่ชั้น 8.5 ชื่อ Goraikoukan (http://www.goraikoukan.jp/english/)

 ซึ่งเป็นที่พักที่ใกล้ยอดเขาที่สุด เพื่อที่จะตื่นตอนเช้าแล้วปีนอีกแค่ 1 กม. ไปถึงยอดเขา
ที่พักบนเขาฟูจิเปิดให้จองราวๆต้นเดือนเมษายนของทุกปี

แนะนำให้จองตั้งแต่วันแรกๆ ที่เปิดเหมือนกัน เพราะที่พักที่ใกล้ยอดมักจะเต็มเร็วมากตั้งแต่วันแรกๆ อย่างของเราเปิดไม่กี่อาทิตย์ก็เต็มเกือบหมดแล้ว ที่พักจะมีให้เลือกด้วยว่าจะรับชุดอาหารเย็นและกล่องเบนโตะอาหารเช้ารึเปล่า ของกลุ่มเราเลือกรับหมดเลย อาหารอร่อยใช้ได้เลย

ถ้าหากพายุเข้าแล้วภูเขาปิดไม่ให้ขึ้นฟูจิ ที่พักก็จะรีฟันเงินให้เต็มจำนวนด้วย




เริ่มออกเดินทาง 🗻

หลังจากที่ปรับตัวที่ชั้น 5 กันประมาณชั่วโมงครึ่ง กลุ่มเราก็เริ่มปีนประมาณ 11 โมง ปกติแล้วจะเป็นเวลาที่แดดเริ่มร้อนแล้ว แต่เราถือว่าโชคดีมากเพราะว่ามีเมฆครึ้มๆแต่ฝนไม่ตกตลอดทาง ทำให้ไม่เจอแดดร้อนๆเลย ไม่อย่างนั้นน่าจะเหนื่อยกว่านี้มาก

ตอนเริ่มต้นปีน ช่วงระหว่างชั้น 5 ไปชั้น 6 จะเป็นทางลาดชันแบบพื้นเรียบซะส่วนใหญ่ มีวิวเทือกเขาให้ถ่ายรูปเล่นด้วย หลังจากนั้นต้องเดินผ่านป่านิดหน่อยเพื่อทะลุไปถึงส่วนที่จะต้องปีนเขา

ทางเดินขึ้นเขาชั้นนี้จะเป็นทางที่สวนกับคนที่เพิ่งลงจากเขามา ระหว่างทางกลุ่มเรามีเดินสวนกับกลุ่มเด็กๆ มัธยมที่เพิ่งปีนเขาลงมาเสร็จ เด็กๆ เดินแถวเรียงหนึ่งกันเป็นมากลุ่มใหญ่ และพูดว่า "Good Job" กับทุกคนที่กำลังเดินขึ้นเขาเพื่อเป็นการให้กำลังใจด้วย
ช่วงชั้น 5 ไปชั้น 6 สบายมาก แค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้วล่ะ ✌🏻








สิ่งของและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับปีนเขา 

การปีนฟูจิจำเป็นที่จะต้องเอาอุปกรณ์ต่างๆไปบนเขาด้วยเพื่อผ่อนแรงและเพื่อเซฟตัวเราเองด้วย ไม่อย่างนั้น 24 ชม. บนเขานี่คือนรกดีๆนี่เอง ถ้าเรียงตามลำดับความสำคัญ เราคิดว่าน่าจะตามนี้นะ
0. เงินนน : ต้องพกเงินและเหรียญขึ้นไปเพื่อซื้อน้ำ ซื้อของกินระหว่างทาง เพราะของที่เราแบกไปจากชั้นล่างมันไม่พอหรอก และใช้เหรียญเข้าห้องน้ำแต่ละชั้นด้วย

1. รองเท้าปีนเขา : เอาแบบดีๆไปเลยเพราะเราต้องเดินเยอะมากๆ เดินขึ้นอย่างน้อย 7-12 ชม. เดินลงอีกราวๆ 4-6 ชม. แนะนำแบบหุ้มข้อเพราะขาลงจะมีกรวดหินเยอะมาก ขนาดใส่หุ้มข้อหินยังกระเด็นเข้ารองเท้าเลย หรือถ้าใครมีแบบไม่หุ้มข้อก็ควรเอาไกเตอร์ (ที่หุ้มข้อเท้ากันหินเข้า) ไปเพิ่ม รองเท้าดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ทำให้เดินแล้วไม่เจ็บและเซฟข้อเท้าเราด้วย (ได้ Northface ตอนลดมา ราวๆ 2,500 บาท)

2. ไม้เท้า : สำหรับเราถ้าไม่มีไม้เท้านี่ตายแน่ๆ ช่วยผ่อนแรงไปได้เยอะมากทั้งขาขึ้นและขาลง เอาไปอันเดียวก็พอ เพราะอีกมือต้องใช้ปีนป่าย ถ้าเอาไปสองอันจะลำบากตอนช่วงปีนนิด ถ้าใครไม่มีก็ซื้อได้ที่ชั้น 5 สามารถเอาไม้ไปปั๊มที่จุดพักแต่ละที่ระหว่างทางเป็นที่ระลึกได้ด้วย (ซื้อชั้น 5 ราวๆ 300 บาท)

3. เป้ : เนื่องจากเดินทางไกล ต้องแบกน้ำ เสบียง เสื้อผ้า สำหรับบนเขาด้วย เป้ที่กระจายน้ำหนัก เบา และหยิบของง่ายก็จำเป็นต่อการเดินทาง เป้ทั่วไปอาจจะรั้งแต่ไหล่ทำให้เจ็บถ้าแบกนานๆ ถ้าเป็นเป้ดีๆหน่อยจะมีสายรัดกระจายน้ำหนักมาที่หน้าอกกับเอวด้วย ทำให้รู้สึกเบาลงเยอะ (ได้ Columbia มาประมาณ 4,000 กว่าๆ)

4. ไฟฉายติดหัว : จุดสุดท้ายของทุกคนที่ปีนเขาคือไปถึงยอดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพราะฉะนั้นจะมีช่วงที่เราต้องปีนตอนกลางคืนด้วย ไฟฉายติดหัวสำคัญมากเพราะช่วงชั้น 9-10 ภูเขาจะชันมาก มีลมพัดฝุ่นทรายเข้าตาตลอดเวลา แถมต้องปีนในความมืด ถ้าไม่มีไฟฉายจะอันตรายมากๆ มีโอกาสจะก้าวพลาดได้ (เราซื้อร้านเดินป่าที่สะพานควาย 200 กว่าบาท)

5. ถุงมือ : จำเป็นมากเพราะช่วยกันหินบาดมือ ทั้งตอนปีน ตอนล้มลงพื้นขาลง ตอนจับไม้ปีนเขา ใช้ถุงมือคนงานก่อสร้างง่ายๆนี่ล่ะแต่ทนดี ใช้เสร็จแล้วทิ้งได้เลยเพราะมันจะเน่ามาก

6. อุปกรณ์กันแดดกันฝุ่น : ทั้งหมวกกัน UV แบบมีผ้ากันแดดที่คอ ครีมกันแดด แว่นตากันแดด ถ้าแดดออก ระหว่างทาง ชั้น 6-10 จะไม่มีอะไรให้เราหลบแดดเลยยกเว้นโรงเตี๊ยมระหว่างทาง แปลว่าถ้าเราไม่มีอุปกรณ์กันแดด เราก็จะเป็นหมูแดดเดียวดีๆนี่เองอยู่ราวๆ 6-7 ชม. แถมข้างบน UV จะแรงมากเพราะเราอยู่เหนือเมฆขึ้นมาอีกชั้น เอาไปเหอะได้ใช้ชัวร์ (ได้หมวกแคดดี้มา 200 กว่าบาท) อย่าลืมหน้ากากกันฝุ่นด้วย ใช้แบบหน้ากากกันไอเวลาไม่สบายนี่ล่ะ แถวๆชั้น 9-10 จำเป็นมาก และขาลงก็จำเป็นมากเพราะฝุ่นเยอะจริงๆ

7. เสื้อผ้ากันหนาวกันลม : พอถึงชั้น 8 อากาศจะเริ่มหนาว ลมจะเริ่มแรงขึ้น ควรจะเอาเสื้อกันหนาวหรือกันลมไปด้วย กางเกงก็ไม่ควรเป็นยีนส์เพราะผ้าฝนตกมันจะซับน้ำและหนัก ควรเป็นกางเกงผ้าร่มเพื่อสะดวกในการปีนป่าย กันน้ำได้นิดหน่อย (ได้ Blocktech uniqlo มา เสื้อแขนยาว เสื้อกันลม กางเกงผ้าร่ม รวมกันราวๆ 3,000 บาท)

8. เสื้อกันฝน : ถ้าโชคไม่ดีวันปีนเจอฝนก็ต้องเอาเสื้อกันฝนไปด้วย ไม่งั้นต้องทนเปียกไปตลอดทางจะไม่สบายง่ายๆ ยิ่งข้างบนอุณหภูมิลดลงเหลือเลขตัวเดียวและลมแรง มันจะทรมานมาก เราก็เตรียมไปแต่โชคดีฝนไม่ตก (ซื้อ Familymart ที่ญี่ปุ่นจะหนาและดีกว่าของไทย ราวๆ 500 เยน)

9. เสบียง: กว่าจะถึงจุดที่มีขายข้าวก็ต้องปีนไปถึงชั้น 7-8 ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 ชม. ระหว่างทางไม่มีอะไรขายเลย จึงจำเป็นต้องเตรียมน้ำและขนมที่ให้พลังงานกินระหว่างทางด้วย ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะช่วย แต่พอกินแล้วมันมีแรงเดินต่อขึ้นจริงๆนะ
10. อื่นๆ : เช่น อ๊อกซิเจนกระป๋อง เนื่องจากอากาศข้างบนจะเบาบางเหนื่อยง่าย ทีมเราซื้อกันไปหลายกระป๋องแต่ไม่ได้ใช้ เพราะใช้แล้วรู้สึกว่าไม่ช่วยอะไร สรุปทิ้ง 5555

นอกจากนี้ก็พวกยารักษาโรค ยาแก้ปวดเมื่อย อุปกรณ์ห้องน้ำ ทิชชู่เปียกเพราะไม่มีที่ให้อาบน้ำ ทิชชู่แห้ง ถุงขยะ และอื่นๆ
สรุปค่าอุปกรณ์ปีนเขาแพงกว่าค่าตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นอีก 5555 😂







ถึงแล้ววววว   富士山六合目 | Fuji 6th Station

ฟูจิในแต่ละชั้นจะมีทางเดินรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน เหมือนกับเคลียร์เกมไปด่านนึงแล้วก็เจอด่านใหม่ หลังจากเราผ่านป่า ผ่านทางลาดชันแบบเดินตรงๆ ของชั้น 5 มา ทางเดินของชั้น 6 กลายเป็นทางลาดชันซิกแซกสลับไปมากับขั้นบันไดแบบไกลสุดลูกหูลูกตา มองไม่เห็นเป้าหมายเลย

ที่ชั้น 6 ระดับความสูงประมาณ 2,390 เมตร ซึ่งอยู่ประมาณระดับเดียวกันกับเมฆที่ลอยต่ำ ระหว่างทางเดินก็จะมีการเดินทะลุเมฆเป็นช่วงๆด้วย ทำให้ชั้นนี้ค่อนข้างร่มไม่ค่อยมีแดด จากชั้นนี้เหลือระยะทางอีก 5 โลถึงจะถึงยอด

จากชั้น 6 ไปชั้น 7 เราใช้เวลากันไปประมาณชั่วโมงครึ่ง หลังจากเดินทะลุเมฆกันมาก็จะถึงจุดพักที่มีขายอาหาร มีหลายอย่างเลยเช่น cup noodle, onigiri, กล้วย, โอเด้ง, ข้าว, อาหาร น้ำ เพิ่มพลังงานต่างๆ กลุ่มเราก็แวะกินข้าวที่ชั้นนี้กันก่อนที่จะเดินทางต่อไปชั้น 8 ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความทรมานที่แท้จริงงงง 😅














富士山七合目 | Fuji 7th Station
.
จากชั้น 7 ไปชั้น 8 เป็นชั้นที่ใช้เวลายาวนานที่สุดในการปีน เนื่องจากเส้นทางเปลี่ยนจากทางชันแบบซิกแซกเป็นก้อนหินชัน บางช่วงปีนลำบากเพราะไม่รู้ว่าจะเหยียบก้อนไหนดี บางช่วงก็ต้องใช้มือช่วยดันตัวขึ้นไปด้วย บวกกับสัมภาระที่เราแบกขึ้นมากันและอากาศที่เบาบางลงก็จะยิ่งทำให้เราเหนื่อยง่าย แต่ระหว่างทางจะมีโรงเตี๊ยมให้นั่งพักเต็มไปหมด และแต่ละโรงเตี๊ยมก็จะมีที่ให้ Stamp ไม้เท้าเป็นที่ระลึกว่ามาถึงแล้วด้วย ค่า Stamp ประมาณ 200-500 เยนแล้วแต่ที่
.
กลุ่มเราจองที่พักชั้น 8.5 เพราะอยากได้ที่พักที่ใกล้ยอดที่สุดเพื่อปีนต่อให้น้อยที่สุดตอนกลางคืน เพราะฉะนั้นเลยต้องปีนจากชั้น 7 ความสูง 2,700 เมตรไปถึงชั้น 8.5 ที่ความสูง 3,450 เมตร ใช้เวลาไปประมาณ 4-5 ชั่วโมงกับระยะทางประมาณ 3 โลในเส้นทางสุดโหด ยิ่งช่วงชั้น 8 มาชั้น 8.5 เส้นทางเปลี่ยนจากหินแข็งๆก้อนใหญ่ๆ เป็นหินก้อนเล็กผสมดินและกรวดทำให้การปีนยิ่งกินแรงมากขึ้น พระอาทิตย์ก็ค่อยๆตกลงไปทำให้มืดและยิ่งมองทางลำบาก ช่วงชั้น 8 อากาศจะเย็นลงจนต้องหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่เพิ่มด้วย
.
กว่าจะขึ้นมาถึงที่พักชั้น 8.5 ก็เกือบ 1 ทุ่มแล้ว เริ่มปีนตอนราวๆ 11 โมง แปลว่าใช้เวลาไปทั้งหมด 8 ชั่วโมงสำหรับชั้น 5 ถึงชั้น 8.5 (ตอนแรกที่วางแผนกัน กะว่าจะปีนรวดเดียวถึงยอด แล้วจองที่พักบนยอดเลยเพื่อตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นเลยทีเดียว ดีนะที่จองชั้น 8.5 เพราะสมาชิกสะบักสะบอมกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว ^^;)
















富士山八合五 | Fuji 8.5th Station

ที่ชั้น 8.5 เราจองโรงเตี๊ยมสุดท้ายที่ชื่อว่า Goraikoukan ไว้ จากชั้นนี้อีกแค่ 900 เมตรก็ถึงยอดเขาแล้ว 🗻
พอเข้าที่พักเขาจะแจกถุงคนละถุงให้เก็บรองเท้าปีนเขา และเอาไม้เท้าเราไปเก็บไว้รวมๆกันจะได้ไม่เกะกะ ที่พักเป็นฟูกให้นอนกับพื้นมีสองชั้นเตี้ยๆ ให้นอนเรียงกันไหล่ชนไหล่เป็นปลาในตลาดปลาเลยล่ะ แต่แยกชายหญิงยกเว้นใครมาด้วยกันและอยากจะนอนข้างๆกัน ส่วนเป้ก็จะมีที่แขวนคล้ายๆราวแขวนเสื้อไว้ให้ปลายที่นอน

ถ้าใครจองแบบรวม Dinner มา ที่พักจะจัดสรรเวลากินข้าวให้แต่ละกลุ่มตามเวลาเชคอินก่อนหลัง ทำให้มาถึงเราต้องรอคิวกินข้าวเพราะพื้นที่กินข้าวมีจำกัด ตอนจองที่พักจะเลือกได้ว่าอยากได้อาหารแบบญี่ปุ่นหรือ western food เราได้คิวกินข้าวประมาณ 2 ทุ่ม โดยเลือกเป็นอาหารญี่ปุ่น เลยได้ ข้าว สลัด และปลาย่างซีอิ้วมาพร้อมกับชาร้อน 1 แก้ว อาหารอร่อยมาก อร่อยทุกอย่าง น่าจะเพราะเหนื่อยกันมาก ถ้าจะเติมอะไรก็เสียตังทั้งหมดแม้แต่ชาร้อน (มีให้ข้าวกล่องสำหรับอาหารเช้าด้วย เป็นข้าวกับปลาเหมือนเดิม แต่คนละชนิดกัน)

ที่พักไม่มีที่อาบน้ำ ที่แต่ห้องส้วมเน่าๆ ที่ทุกคนปล่อยทับถมกันมาแต่ชาติปางไหน เพราะฉะนั้นเราเลยซื้อน้ำเปล่าขวดละ 500ml ในราคา 500 เยนมาล้างหน้าแปรงฟันเข้านอนกัน 5555

ที่พักจะปิดไฟตอน 3 ทุ่ม และคนส่วนใหญ่จะนอนกันหมดเพราะต้องออกไปปีนเขาต่อตอนตี 2 เพื่อไปให้ถึงยอดเขาตอนราวๆตี 4 จับจองพื้นที่บนยอดเขาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 5

P.S. ใครมีแรงเหลือ หรือนอนไม่หลับ และโชคดีท้องฟ้าเปิด แนะนำให้ออกไปถ่ายดาวตอนที่พักปิดไฟ ถ้าโชคดีอาจจะจับทางช้างเผือกได้คะ











富士山山頂 | Mt.Fuji Summit

พอเวลาตีหนึ่งกว่า นักปีนเขาคนอื่นๆเริ่มลุกกันแล้ว เรานอนไม่ค่อยหลับเพราะมีทั้งเสียงกรน นอนเบียดๆแบบพลิกตัวลำบาก อากาศตอนกลางคืนแรกๆก็หนาว พอฮีตเตอร์ทำงานกลับร้อน อากาศก็ไม่ค่อยถ่ายเท ภูมิแพ้เลยมาน้ำมูกไหลตลอดๆ เราก็เลยรีบลุกเหมือนกัน ไปล้างหน้าแปรงฟันแต่งตัวเตรียมออกเดินทาง

ข้างนอกลมแรงมากและอากาศเย็นลงมาก น่าจะเหลือเลขหลักเดียว มองลงไปข้างล่างมืดสนิท ยกเว้นเส้นทางปีนเขาที่มีไฟส่องสว่างตลอดทางจากไฟคาดหัวของนักปีนเขาที่ขึ้นมาแบบไม่ขาดสาย

เราเริ่มออกเดินทางจากชั้น 8.5 ตอนตี 2 กว่า ระยะทาง 900 เมตรสุดท้ายเป็นช่วงที่โหดที่สุดในการปีนเขาครั้งนี้ ตลอดทางลมแรงมากๆและมีฝุ่นทรายสีดำจากภูเขาไฟพัดมาตลอดเวลา แค่ลืมตาทรายดำก็เข้าตาแล้วทำให้ต้องก้มหน้าตลอด มองขึ้นไปดูทางไม่ได้เลย ทางปีนก็เป็นช่วงที่ชันมากที่สุด กว่าจะถึงยอดเขาก็ตี 4 แล้ว เราหยุดพักกันไป 4-5 รอบได้

บนยอดเขาจะมีศาลเจ้าและโรงเตี๊ยมให้ซื้อของกินเพื่อพักรอเวลาพระอาทิตย์ขึ้น แต่หลายๆคนพอถึงยอดก็รีบจับจองพื้นที่ริมเขาก่อนไม่ได้เข้ามาพัก พอซักตี 5 ท้องฟ้าก็ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนสี ทุกคนก็ทยอยออกมาดูกันจนเต็มไปหมด ตอนพระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นมันสวยมากจริงๆ ความรู้สึกเหมือนว่าเราทำเป้าหมายของเราสำเร็จแล้วล่ะ ✌🏻





















ทางขึ้นว่าหนักแล้ว ทางลงยิ่งหนักกว่าอีกนะ

หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นได้ซักพัก เราเริ่มเดินลงกันประมาณ 6 โมงครึ่ง โดยต้องเดินลงทั้งหมด 6 กิโล

ทางเดินลงช่วงแรกเป็นทางดินเอียงลงแบบซิกแซกไปมา มีหินกรวดตลอดทางทำให้เวลาเดินลื่นมาก มีนักปีนเขาลื่นล้มอยู่ตลอด ถ้าใครไม่ได้ใส่รองเท้าหุ้มข้อก็อาจจะมีหินกระเด็นเข้ารองเท้าทำให้เวลาเดินอาจจะเจ็บได้

ถ้าเทียบกับทางขึ้น ขาขึ้นยังพอมีจุดหมายแต่ละชั้น มองขึ้นไปยังมองเห็นแต่ละโรงเตี๊ยมที่เป็นเป้าหมาย แต่ขาลงไม่มีอะไรเลยยาวๆ มีโรงเตี๊ยมเดียวแถวๆชั้น 8 ถัดมาจะไม่มีที่ขายน้ำอีกเลยจนถึงชั้น 5 ทำให้รู้สึกเดินแบบไม่มีจุดหมายมากๆ ยังดีที่วิวระหว่างทางสวย แต่ตอนนั้นก็เหนื่อยจนไม่ค่อยมีอารมณ์ดูวิวแล้วล่ะ

















เราลงมาถึงชั้น 5 ประมาณ 11 โมงครึ่ง ใช้เวลาไปประมาณ 5 ชม. แดดช่วง 10 โมงเป็นต้นไปจะเริ่มแรงขึ้นทำให้เวลาเดินยิ่งร้อนและเหนื่อยมากขึ้น ใครเดินไม่ไหวแถวๆ ชั้น 6-7 ให้ขี่ม้าลง คชจ คนละ 30,000 เยน หรือแถวๆ ช่วงกิโลสุดท้ายก่อนถึงชั้น 5 มีบริการรถม้าประมาณ 5,000 เยนต่อคน

พอลงมาถึงชั้น 5 ก็รีบเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา (ต้องล้างตาจริงๆเพราะดินทรายที่เข้าตาเมื่อตอนตี 3-4 ยังอยู่ ตาแดงไปหมดเลย)

สรุปใช้เวลาทั้ง 24 ชม.บนเขา เป็นหนึ่งในทริปที่เหนื่อยที่สุดแต่ก็สนุกครบรสมากๆ พอลงมาพักที่ทะเลสาบ kawaguchiko แล้วมองย้อนขึ้นไปบนยอดเขาฟูจิ มันให้ความรู้สึกอีกแบบนึงไปเลยว่าครั้งนึงเราเคยขึ้นไปอยู่บนนั้นมาแล้ว และมันคงจะเป็นความทรงจำที่จะอยู่กับเราตลอดไป

จบแล้วกับรีวิวการปีนภูเขาไฟฟูจิคะ  หากข้อมูลผิดพลาดส่วนใด  ขอโทษล่วงหน้านะคะ  :)

-------------------------------------------------------------

www.facebook.com/PoiBlog